พระอานนท์พักอยู่ ณ กุกกุฏาราม ใกล้เมืองปาฏลีบุตร
ครั้งนั้น พระภัททะพักอยู่ในที่ใกล้กัน
เวลาเย็นวันหนึ่งพระภัททะได้เข้าไปหาพระอานนท์ เมื่อทักทายปราศรัยกันตามสมควรแล้ว
พระภัททะได้ถามพระอานนท์ว่า
“ท่านอานนท์
! ศีลที่เป็นกุศลเหล่าใด อันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว ทรงมีพระประสงค์อย่างไร
?”
“ดีละ
ๆ ท่านภัททะ ท่านนี่ช่างคิด ช่างเฉียบแหลม ช่างไตร่ถามเหมาะ ๆ
ท่านภัทะ ! ศีลที่เป็นกุศลเหล่าใด
อันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว ศีลที่เป็นกุศลเหล่านี้
พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วเพียงเพื่อเจริญสติปัฏฐาน 4 ก็สติปัฏฐาน 4 เป็นไฉน ?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่...
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่…
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ท่านภัททะ ! ศีลที่เป็นกุศลเหล่าใด
อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว ศีลที่เป็นกุศลเหล่านี้
พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วเพียงเพื่อเจริญสติปัฏฐาน 4 เหล่านี้”
ขยายความ ในฐิติสูตร
ที่ต่อจากพระสูตรนี้ พระภัททะก็ได้ถามพระอานนท์ว่าอะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย
ให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้นาน หรือไม่นานในเมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว
?
พระอานนท์ก็ได้ตอบว่า เพราะมีผู้เจริญหรือไม่เจริญสติปัฏฐาน 4
เหมือนดังพระพุทธองค์ได้รับสั่งไว้ และพระอานนท์ได้จำถ่ายทอดมา
นี่ก็หมายความว่า สติปัฏฐาน 4 นี่เอง เป็นแก่นของศาสนา ถ้าพุทธบริษัททั้ง 4
เหล่า ไม่ปฏิบัติวิปัสสนาหรือสติปัฏฐาน 4 แล้ว พระพุทธศาสนาก็จะไม่ตั้งอยู่ได้นาน
เป็นเรื่องที่ชาวพุทธทุกฝ่าย ควรเอาใจใส่สนใจศึกษาและปฏิบัติ โดยทั่วถึงกัน
มิใช่จะโยนกลองมาให้ภิกษุแต่เพียงฝ่ายเดียว
แต่ในพระสูตรนี้
ได้ระบุรากฐานหรือความงอกงามของศีลเพียงเพื่อเจริญสติปัฏฐาน 4 เท่านั้น
นั่นก็หมายความว่า ถ้าศีลที่ไม่เป็นกุศล คือศีลที่ขาดบ้าง ทะลุบ้าง
ด่างบ้าง พร้อยบ้าง ก็จะเจริญสติปัฏฐาน 4 ไม่ได้ผล
ในเมืองไทย มีสำนักปฏิบัติวิปัสสนาอยู่มากมาย
และหลายแห่งก็เคร่งครัดในด้านวิปัสสนาดี แต่ก็ไปหย่อนในทางศีล
เป็นที่น่าเสียดายมาก
ในบางสำนักถึงกับกล่าวว่า
ศีลไม่สำคัญอะไร ไม่ต้องรักษาก็ได้ เพราะขณะปฏิบัติวิปัสสนาอยู่นั้น
ศีลมีครบบริบูรณ์ในตัวแล้ว เป็นเรื่องที่ตีความเอาเอง เพราะโดยความจริง
ไม่มีใครปฏิบัติวิปัสสนาได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแม้ขณะที่ยังตื่นอยู่ เห็นอยู่
ก็ไม่อาจจะทำได้ทุกขณะจิต
ขอกราบเท้าวิงวอน
ท่านเจ้าสำนักทั้งหลาย จงลดอัตทิฐิมานะ ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
ให้ถ่องแท้แล้วนำเอาไปประยุกต์ปฏิบัติเถิด นอกจากสำนักของท่านจะเจริญก้าวหน้าแล้ว
พระศาสนาก็จะตั้งมั่นอยู่ได้นานอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น