พระพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ พระเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นพวกภิกษุชาวรัฐอาฬวี
สร้างกุฎีที่พักของตน ๆ ใหญ่โต ไม่มีกำหนด จึงต้องใช้วัสดุในการก่อสร้างมากและสำเร็จยาก
จึงต้องขอสิ่งของและอุปกรณ์การก่อสร้างจากชาวบ้าน
ครั้งแล้วครั้งเล่าแม้กระทั่งแรงงานก็ต้องขอมาช่วย
ชาวบ้านแถบนั้นต่างมีความเอือมระอาไปตาม ๆ กัน
เมื่อเห็นพระเดินมาจึงพากันหลบหลีกบ้าง
ปิดประตูหน้าต่างบ้างเมินหน้าทำไม่เห็นเสียบ้าง
หวาดระแวงถึงขนาดเห็นแม่โคสีคล้ายจีวรพระ
ก็พากันหนีด้วยคิดว่าพระมาเรี่ยไรอีกแล้วเป็นต้น
ต่อมา พระมหากัสสปเดินทางไปรัฐอาฬวี ได้เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านนั้น
ชาวบ้านหมู่นั้นเห็นแล้วพากันหวาดสะดุ้งและหลบหนี ยังความประหลาดใจให้เกิดแก่ท่าน
เพราะไม่เคยพบมาก่อน ท่านจึงคิดว่าจะต้องมีเหตุมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นแน่
เมื่อท่านได้สอบถามพวกภิกษุเหล่านั้นทราบความแล้ว จึงรู้สึกสลดใจมาก
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จถึงรัฐอาฬวี พระมหากัสสปจึงได้กราบทูลความนั้นให้ทรงทราบ
พระพุทธเจ้าจึงทรงตำหนิการกระทำของพวกภิกษุเหล่านั้นว่าเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของหมู่ชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของหมู่ชนที่เลื่อมใสอยู่ก่อนแล้ว
ทรงติเตียนภิกษุชาวรัฐอาฬวีว่า เป็นคนเลี้ยงยาก บำรุงยาก
เป็นคนมักมากไม่สันโดษ คลุกคลี เป็นต้น แล้วทรงนำเอาเรื่องโทษของคนขอจัดมาแสดงไว้ดังนี้
พญานาคหนีคนขอ ฤษีสองพี่น้อง
ตั้งสำนักอาศรมบำเพ็ญพรตอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาคนละแห่ง พญานาคชื่อ
มณีกัณฐ์ตัวหนึ่ง มีความเอ็นดูฤษีองค์น้อง
จึงขึ้นจากน้ำมาหาทุกวันมาไม่มาเปล่าแถมเอาลำตัวพันรอบ ๆ ฤษีผู้น้อง 7 รอบด้วย
ฤษีผู้น้องมีความหวาดกลัวจนซูบผอม ผิวเหลืองคล้ำ มีแต่หนังหุ้มกระดูก
ฤษีพี่ชายเห็นน้องมีอาการเช่นนั้น สอบถามก็ได้ความว่ากลัวพญานาค
ถ้าน้องไม่อยากให้พญานาคมาอีก จงขอแก้วมณีที่ห้อยคอพญานาคเถิด
แล้วพญานาคนั้นจะไม่มาหาอีก ถ้าวันต่อมายังมาอีกก็ให้ขออีก
คือให้ขอทุกครั้งที่พบกัน
วันต่อมา พญานาคมณีกัณฐ์ก็มาหาตามเคย
พอนาคเข้ามาถึงที่อยู่ฤษีก็ออกปากขอแก้วมณีทันทีว่า
“ขอท่านจงให้แก้วมณีที่แขวนคอแก่ข้าพเจ้าเถิด
ข้าพเจ้าอยากได้แก้วมณีที่ประดับอกท่าน”
พญานาคใจหายวูบ ความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อฤษีลดลงไปทันที
พลางคิดว่าก็ที่เรามีอำนาจถึงปานนี้ก็ด้วยมีแก้วมณีดวงนี้
แก้วมณีดวงนี้จึงเป็นที่รักของเราอย่างยิ่ง เราจึงหวงแหนยิ่งนักจึงรีบกลับไปทันที
วันต่อมา พญานาคก็มาหาอีก
พอเข้ามาใกล้จะถึง ฤษีก็รีบร้องขอแก้วมณีอีก นาคก็เลยต้องหันหลังกลับกลับลงน้ำไปอีก
ครั้งที่สาม พอพญานาคโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำคงคา
ฤษีเห็นแต่ไกลก็รีบร้องขอแก้วมณีทันที นาคได้กล่าวตอบว่า
“อาหารของเราเกิดจากการบันดาลของแก้วดวงนี้
ข้าพเจ้าจะให้แก้วดวงนี้แก่ท่านได้อย่างไร ? ท่านเป็นคนขอจัดเราจะไม่มาหาท่านอีกต่อไปแล้ว”
ฤษีผู้พี่จึงกล่าวคาถาตอนท้ายเรื่องว่า
“ถ้ารู้ว่าสิ่งใดเป็นที่รักของเขา ไม่ควรขอสิ่งนั้น
คนย่อมเป็นที่เกลียดชังเพราะขอจัด”
นกกลัวคนขอ ภิกษุองค์หนึ่ง
ท่านบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าแถบภูเขาหิมพานต์ ใกล้ที่สำนักพระนั้น
มีหนองน้ำใหญ่นกฝูงใหญ่มาอาศัยกินน้ำนั้น
แล้วก็เลยพักอยู่ในป่าใกล้สำนักของภิกษุรูปนั้น
พระมีความรำคาญด้วยเสียงนกเหล่านั้น เมื่อเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ทรงถามถึงความผาสุก ในการทำความเพียรอยู่ในป่า พระรูปนั้นกราบทูลว่า
“ข้าพระพุทธเจ้ารำคาญเสียงนก จึงหนีจากป่านั้นมาพระพุทธเจ้าข้า”
“เธอต้องการให้นกเหล่านั้นหนีไปหรือ ? ”
“พระพุทธเจ้าข้า”
“ถ้าเช่นนั้น เธอจงปฏิบัติอย่างนี้
เมื่อนกเหล่านั้นเข้านอนในป่าเรียบร้อยแล้ว ตอนหัวค่ำเธอร้องดัง ๆ ว่า นกทั้งหลายจงฟังเรา !
นกที่อยู่ในบริเวณนี้ทั้งหมด
จงให้ขนแก่เราตัวละหนึ่งขน ประกาศ
3 ครั้ง พอเวลาดึกสองยามเธอก็ไปประกาศดัง ๆ เช่นเดียวกันอีก 3 ครั้ง ๆ
และเวลาใกล้รุ่งให้เธอไปประกาศอย่างนี้อีก 3 ครั้ง”
เมื่อภิกษุรูปนั้นเข้าป่า
และปฏิบัติตามพระพุทธองค์ทรงแนะ พวกนกเหล่านั้นรู้ว่าพระต้องการขนของเรา
และร้องขอขนของเราอยู่ทั้งคืน จึงได้พร้อมใจกันหนีออกไปจากป่านั้น ไม่กลับมาอีกเลย