พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกพระองค์เดียว ไปยังมคธชนบท
ทรงแวะยังกรุงราชคฤห์เสด็จเข้าไปหานายภัคควะ ซึ่งเป็นนายช่างปั้นหม้อขาย
ทรงขอพักในโรงปั้นหม้อสักคืนหนึ่ง ซึ่งนายภัคควะก็ยินดี แต่ในโรงปั้นหม้อนั้น
มีภิกษุรูปหนึ่งพักอยู่ก่อน ถ้าท่านอนุญาตก็นิมนต์พักเถิด
ภิกษุที่มาพักอยู่มีชื่อว่า “ปุกกุสาติ” ท่านเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาส
จึงออกบวชมุ่งอุทิศพระพุทธเจ้าด้วยศรัทธา แต่ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปที่โรงปั้นหม้อ
จึงตรัสกะท่านปุกกุสาติว่า
“ภิกษุ ! ถ้าไม่เป็นความหนักใจแก่ท่าน
เราจะขอพักในโรงปั้นหม้อสักคืนเถิด”
ท่านปุกกุสาติตอบว่า
“ท่านผู้มีอายุ
โรงของช่างหม้อกว้างขวาง นิมนต์ท่านผู้มีอายุพักตามสบายเถิด”
พระพุทธองค์จึงเสด็จเข้าไปภายใน ทรงลาดหญ้าเป็นที่ประทับส่วนหนึ่ง
ประทับนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติเฉพาะหน้า ทรงประทับนั่งอยู่จนดึกแม้ท่านพระปุกกุสาติก็นั่งสมาธิจนดึกเช่นเดียวกัน
พระพุทธองค์ทรงดำริว่า ท่านผู้นี้ประพฤติน่าเลื่อมใสหนอ เราควรจะถามดูบ้าง
จึงตรัสถามขึ้นว่า
“ภิกษุ ! ท่านบวชอุทิศใคร
หรือว่าใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ?”
ท่านปุกกุสาติตอบว่า
“ท่านผู้มีอายุ มี พระสมณโคดมผู้ศากยบุตร เสด็จออกผนวชแล้ว
ก็พระสมณโคดมผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ...เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมดังนี้
ข้าพเจ้าบวชอุทิศพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงเป็นศาสดาของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าชอบใจธรรมของท่าน”
“ภิกษุ ! ก็เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ประทับอยู่ที่ไหน ? ”
“ทรงประทับอยู่ที่นครสาวัตถี
ผู้มีอายุ”
“ภิกษุ ! ก็ท่านเคยเห็นพระองค์แล้วหรือ ? ”
“ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น และไม่เคยรู้จักเลย ท่านผู้มีอายุ”
พระพุทธองค์มีพระดำริว่า กุลบุตรนี้บวชอุทิศเรา ฉะนั้นเราควรแสดงธรรมแก่เขา
ต่อแต่นั้นพระองค์จึงทรงแสดงธรรมให้ฟัง พอสรุปเป็นใจความได้ดังนี้
คนเรามีธาตุ 6 มีที่สัมผัส 6 มีที่หน่วงนึกของใจ 18
มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ 4 ไม่มีกิเลสเครื่องหมักหมม บัณฑิตเรียกว่ามุนีผู้สงบแล้ว
ไม่พึงประมาทปัญญา พึงตามรักษาสัจจะ พึงเพิ่มพูนจาคะ พึงศึกษาสันติเท่านั้น
ต่อจากนั้น ทรงขยายความของธรรมเหล่านั้นโดยละเอียด
จนถึงความไม่ยึดมั่นในร่างกายตัวตนว่าเป็นเราเป็นเขาในที่สุด
เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจบลง ท่านปุกกุสาติจึงแน่ใจว่า
ผู้ที่แสดงธรรมให้ตนฟังอยู่ขณะนี้ คือพระศาสดาที่ตนบวชอุทิศนั่นเอง
จึงลุกจากที่นั่งห่มจีวรเฉวียงบ่าซบศรีษะลงแทบพระบาทพระพุทธเจ้า
ขอขมาโทษที่ไม่รู้จัก จึงมิได้แสดงคารวะธรรม พระพุทธองค์ทรงอดโทษแล้ว
ท่านปุกกุสาติจึงขอบวชต่อพระพุทธองค์
แต่บาตรและจีวรของท่านมีไม่ครบทรงให้ท่านปุกกุสาติไปแสวงหาให้ครบก่อน
เมื่อท่านปุกกุสาติกำลังแสวงหาจีวรอยู่นั้น แม่โคได้ขวิดท่านตาย แต่เพราะท่านเป็นพระอนาคามีแล้วจึงจะนิพพานในภพต่อไป
ขยายความ
ธาตุ 6
คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ และวิญญาณ
ที่สัมผัส 6
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
ที่หน่วงนึกของใจ 18
คือ คนเห็นรูปด้วยตาแล้วเกิดความดีใจ 1
เกิดความเสียใจ (ไม่ชอบใจ 1) เกิดความเฉย ๆ 1
เมื่อ 3x6เท่ากับ 18
เหตุที่ท่านปุกกุสาติไม่ได้บวช เพราะไม่เคยถวายจีวรไว้ก่อน
แม้ท่านจะบำเพ็ญบารมีด้านอื่น ๆ จนเต็ม สามารถเป็นพระอนาคามีได้ก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธเราจึงควรจะพยายามสร้าง บารมีให้ครบทุกบารมี