วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เทวฑูตในโลกมนุษย์

        พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตะวัน พระนครสาวัตถี ได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลาย ถึงเรื่องเทวทูตที่ปรากฏในโลกมนุษย์ พอที่จะสรุปเป็นใจความได้ว่า
     เปรียบเหมือนมีเรือน 2 หลังอยู่ใกล้กัน มีประตูเรือนละช่องตรงกัน มีคนสายตาดียืนอยู่ในระหว่างเรือน 2 หลังนั้น ได้เห็นคนในเรือนทั้งสอง เดินไปมาไม่ขาด
     พระพุทธองค์ก็เช่นเดียวกัน ทรงเห็นหมู่สัตว์โลกที่ตายและเกิด อยู่ทุกขณะทั้งที่เลวและประณีต ได้ดีหรือตกยาก ด้วยทิพย์จักษุ (ตาทิพย์) เหมือนคนตาดีมองเห็นคนในบ้านสองหลังเดินเข้าเดินออกฉะนั้น
     ในบรรดาเหล่าสัตว์โลกที่ทรงเห็นนี้ ย่อมมีทั้งผู้ที่ทำกรรมดี คือเคยประกอบแต่กุศลกรรมที่เป็นไปทางกาย วาจา และใจก็มี ที่เคยประกอบกรรมชั่วด้วยกาย วาจาและใจก็มี กำลังได้รับผลของกรรมนั้น ๆ อยู่
     เฉพาะผู้ที่ทำแต่กรรมชั่วนั้น เมื่อตายไปนายนิรยบาล จะจับแขนไปส่งแก่พระยายม พร้อมทั้งรายงานว่า
     “ข้าแต่พระองค์ คนนี้ไม่ปฏิบัติชอบในมารดา ในสมณะไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ขอพระองค์จงลงโทษแก่เขาเถิด”
     พระยายมจะปลอบโยน เอาใจ  และไต่ถามถึงเทวทูตที่หนึ่ง แก่เขาว่า
     “พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่เคยเห็นเทวทูตที่หนึ่ง ที่มีอยู่ในโลกมนุษย์บ้างเลยหรือ?
     “ไม่เคยเห็นพระเจ้าข้า”
     “พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่เคยเห็นเด็กอ่อนนอนแบเบาะ เนื้อตัวเปื้อนด้วยอุจจาระและปัสสาวะของตน ในหมู่มนุษย์บ้างเลยหรือ ?
     “เคยเห็นเจ้าข้า”
     “พ่อมหาจำเริญ พ่อนั้นโตรู้ความแล้ว มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความคิดดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราก็มีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้ (จะต้องเกิดอีก) ควรที่จะทำความดีทางกาย วาจาและใจ”
     “ไม่เคยคิดพระเจ้าข้า เพราะมัวประมาทเสียเจ้าข้า”
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่ได้ทำความดีด้วยกาย วาจาและใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจะลงโทษพ่อ เพราะเหตุที่ประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดา ญาติพี่น้อง หรือมิตรสหายทำให้ ไม่ใช่สมณะหรือเทวดาทำให้ ที่แท้ตัวพ่อนั่นแหละทำไว้เอง และตัวพ่อนั่นแหละก็จะได้รับผลของกรรมนั้น"
     เมื่อพระยายมได้ปลอบถามถึงเทวทูตที่หนึ่งแล้ว ก็ได้ปลอบถามถึงเทวทูตที่สองในโลกมนุษย์ต่อไปว่า
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่เคยเห็นเทวทูตที่สอง ในโลกมนุษย์บ้างเลยหรือ?"
     “ไม่เคยเห็นพระเจ้าข้า”
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่เคยเห็นหญิงหรือชาย มีอายุ 80 ปี 90 ปี หรือ 100 ปี เป็นคนแก่ซี่โครงคด หลังงอ ถือไม้เท้า งกเงิ่นเดินไป กระสับกระส่าย ล่วงวัยหนุ่มสาว ฟันหัก ผมหงอก หนังย่น ศรีษะล้าน เหี่ยว ตัวตกกระ ในหมู่มนุษย์บ้างเลยหรือ?"
     "เคยเห็นเจ้าข้า"
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อนั้นโตรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว เคยมีความคิดอย่างนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราก็ต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ควรที่เราจะรีบทำความดีทางกาย วาจา และใจ"
     "ไม่เคยคิดเลยเจ้าข้า เพราะมัวแต่ประมาทเสียเจ้าข้า"
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่ได้ทำความดีทางกาย วาจาและใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจะลงโทษพ่อ เพราะเหตุที่ประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาบิดา ญาติพี่น้อง หรือมิตรสหายทำให้ ไม่ใช่สมณะหรือเทวดาทำให้ ที่แท้ตัวพ่อนั่นแหละทำไว้เอง และตัวพ่อนั่นแหละก็จะได้รับผลของบาปกรรมนั้น"
     เมื่อพระยายมปลอบถามถึงเทวทูตที่สองแล้วก็ได้ปลอบถามถึงเทวทูตที่สามในโลกมนุษย์ต่อไปว่า
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่เคยเห็นเทวทูตที่สาม ในโลกมนุษย์บ้างเลยหรือ"
     "ไม่เคยเห็นเลยเจ้าข้า"
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่เคยเห็นหญิงหรือชาย ผู้เจ็บป่วยทนทุกข์ทรมาน เป็นไข้หนัก นอนเปื้อนอุจจาระและปัสสาวะของตน มีคนอื่นช่วยพยุงลุกนั่งลุกเดิน ในหมู่มนุษย์บ้างเลยหรือ ?"
     "เคยเห็นเจ้าข้า"
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อนั้นโตรู้ความแล้ว มีสติเป็นผู้ใหญ่แล้วได้มีความคิดอย่างนี้บ้างหรือไม่ว่า แม้ตัวเราแลก็ต้องมีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้ ควรที่เราจะรีบทำความดีทางกาย วาจาและใจ"
     "ไม่เคยคิดเลยเจ้าข้า เพราะมัวประมาทเสียเจ้าข้า"
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่ได้ทำความดีทางกาย วาจาและใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจะลงโทษพ่อ เพราะเหตุที่พ่อประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาบิดา ญาติพี่น้องทำให้ หรือมิตรสหายทำให้ ไม่ใช่สมณะหรือเทวดาทำให้ ที่แท้ตัวพ่อนั่นแหละทำไว้เอง และตัวพ่อนั่นแหละ ก็จะได้รับผลของบาปกรรมนั้น"
     เมื่อพระยายมได้ปลอบถามถึงเทวทูตที่สามแล้วก็ได้ปลอบถามถึงเทวทูตที่สี่ในโลกมนุษย์ต่อไปว่า
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่เคยเห็นเทวทูตที่สี่ ในโลกมนุษย์บ้างเลยหรือ ?"
     "ไม่เคยเห็นเลยเจ้าข้า"
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่บ้านเมือง จับโจรผู้ร้าย ผู้กระทำผิดมาแล้ว ถูกตัดสินลงโทษด้วยประการต่าง ๆ จนถึงประหารชีวิตบ้างเลยหรือ ?"
     "เคยเห็นเจ้าข้า"
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อนั้นโตรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความคิดอย่างนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ถ้ากระทำชั่วทำผิด ทำลามก ย่อมจะถูกลงโทษด้วยวิธีการต่าง ๆ ชนิดปัจจุบันทันตาเห็น จะป่วยกล่าวไปไยถึงชาติหน้า ควรที่เราจะรีบทำความดีทางกาย วาจา และใจ"
     "ไม่เคยคิดเลยเจ้าข้า เพราะมัวแต่ประมาทเสียเจ้าข้า"
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่ได้ทำความดีทางกาย วาจาและใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจะลงโทษพ่อ เพราะเหตุที่ประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาบิดา ญาติพี่น้อง หรือมิตรสหายทำให้ ไม่ใช่สมณะหรือเทวดาทำให้ ที่แท้พ่อนั่นแหละทำไว้เอง และตัวพ่อนั้นแหละก็จะได้รับผลของบาปกรรมนั้น"
     เมื่อพระยายมปลอบถามถึงเทวทูตที่สี่แล้ว ก็ได้ปลอบถามถึงเทวทูตที่ห้า ในโลกมนุษย์ต่อไปว่า
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่เคยเห็นเทวทูตที่ห้า ในโลกมนุษย์บ้างเลยหรือ ?"
     "ไม่เคยเห็นพระเจ้าข้า"
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่เคยเห็นหญิงหรือชาย ที่ตายแล้ววันหนึ่ง สองวันหรือสามวัน ขึ้นพองเขียวช้ำ มีน้ำเหลืองเยิ้มในโลกมนุษย์บ้างเลยหรือ ?"
     "เคยเห็นเจ้าข้า"
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อนั้นโตรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้วได้เคยมีความคิดอย่างนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็ต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ควรที่เราจะรีบทำความดีทางกาย วาจาและใจ"
     "ไม่เคยคิดเลยเจ้าข้า เพราะมัวแต่ประมาทเสียเจ้าข้า"
     "พ่อมหาจำเริญ พ่อไม่ได้ทำความดีทางกาย วาจาและใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจะลงโทษเพราะเหตุที่พ่อได้ประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแหละ ไม่ใช่มารดาบิดา ญาติพี่น้องหรือมิตรสหายทำให้ ไม่ใช่สมณะหรือเทวดาทำให้ ที่แท้ตัวพ่อเองได้ทำไว้เอง และตัวพ่อนั่นแหละก็จะได้รับผลของกรรมนั้น"
     เมื่อพยายมได้ปลอบถามถึงเทวทูตที่ห้าแล้ว ได้นิ่งอยู่ แต่เหล่านายนิรยบาลได้ตรึงผู้นั้น 5 แห่ง คือที่มือสองข้าง ที่เท้าสองข้าง ที่กลางอกหนึ่งแห่ง ด้วยตะปูเหล็กแดง สัตว์นั้นได้รับทุกข์เวทนากล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกนั้นและยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

    

อานาปานสติสูตร (ตอนจบ)

ข้อควรกำหนดในพระสูตรนี้      พระเถระผู้มีนามปรากฏในพระสูตรนี้ เป็นพระเถระยุคต้นพุทธกาล เป็นเอตทัคคสาวก ในจำนวน 43 ท่าน การที่นำเอาชื่อพร...