พระอานนท์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานโอกาส
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ ที่ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว
พึงเป็นผู้ ๆ เดียวหลีกออกจากหมู่ไม่ประมาทมีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“อานนท์ ! เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?”
พระอานนท์กราบทูลว่า
“ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”
พ. “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ? ”
อ. “เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า”
พ. “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นของธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ? ”
อ. “ไม่ควรเห็นอย่างนั้น
พระเจ้าข้า”
พ. “รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?”
อ. “ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”
พ. “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ? ”
อ. “เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า”
พ. “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นของธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั้นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ?”
อ. “ไม่ควรเห็นอย่างนั้น
พระเจ้าข้า”
พ. “จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส
สุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?”
อ. “ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”
พ. “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?”
อ. “เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า”
พ. “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นของธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ?”
อ. “ไม่ควรเห็นอย่างนั้น
พระเจ้าข้า”
พ. “ใจเที่ยงหรือไม่เที่ยง ? ”
อ. “ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”
พ. “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ? ”
อ. “เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า”
พ. “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นของธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ? ”
อ. “ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า”
พ. “มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เที่ยงหรือไม่เที่ยง ? ”
อ. “ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”
พ. “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ? ”
อ. “เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า”
พ. “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นของธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา”
อ. “ไม่ควรเห็นอย่างนั้น
พระเจ้าข้า”
พ. “อานนท์ ! อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในจักษุ
ทั้งในรูป ทั้งในจักษุวิญญาณ ทั้งในจักษุสัมผัส ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ
อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย....
ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในใจ
ทั้งในธรรมารมณ์ ทั้งในมโนวิญญาณ ทั้งในมโนสัมผัส ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ
อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว
ย่อมมีญาณหยั่งรู้ หลุดพ้นแล้วรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก”
ขยายความ พระธรรมเทศนาแนวนี้
พระพุทธองค์ทรงแสดงมาก และผู้ฟังจบแล้วส่วนมากได้บรรลุธรรมในทันที
เพราะเป็นการแสดงจากของจริง โดยจี้ลงไปแต่ละจุดจนเกิดความกระจ่างหรือเกิดความสว่างในทางจิต เช่น
ทรงแสดงถึงตา สิ่งที่คู่กับตาคือรูป และอายตนะสิ่งที่เชื่อมระหว่างตากับรูป
พร้อมทั้งวิญญาณคือความรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ต่อจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเวทนา
คือถ้าชอบก็เกิดสุขเวทนา ถ้าไม่ชอบก็เกิดทุขเวทนา ถ้าเฉย ๆ ก็เป็นอทุกขมสุขเวทนา
ถ้าอ่านหรือฟังธรรมะ
แล้วเข้าใจความในเรื่องนั้น ๆ ดี จะรู้สึกสนุก ไม่เบื่อ และเมื่อศึกษามาก
ก็จะเร่งเร้าให้อยากปฏิบัติตามด้วย
การศึกษาธรรมะทุกประเภท ถ้าไม่มีการปฏิบัติตามบ้าง ต่อไปจะเกิดความเซ็ง
ได้ยินใครพูดถึงธรรมะ จะเกิดความเอือมระอาทันที
ถ้าจะไปเปรียบ
การอ่าน การฟังธรรมะ เหมือนการอมถั่ว ยิ่งอมไว้มากก็มีแต่ทำให้แก้มตุ่ย
แต่ไม่รู้รสของถั่ว นั่นก็คือไม่เกิดความมัน อันเกิดจากถั่วนั้น
ส่วนผู้ที่ศึกษาธรรมะ ด้วยการอ่านหรือการฟัง แล้วนำไปปฏิบัติด้วย
เปรียบเหมือนอมถั่ว (ปริยัติ) และเคี้ยวถั่ว (ปฏิบัติ)
นั้นด้วย ได้รับรสของถั่ว
และได้รับประโยชน์จากถั่ว (ปฏิเวธ) ด้วย ฉันใดก็ฉันนั้น