พระพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ ปาวาริกอัมพวัน ใกล้เมือง นาลันทา ครั้งนั้นผู้ใหญ่บ้านมีนามว่าอสิพันธ์
ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลถามความข้องใจของตนว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระองค์ทรงเกื้อกูลและอนุเคราะห์สัตว์โลกโดยทั่วหน้าอยู่มิใช่หรือ ?”
“อย่างนั้นสิ อสิพันธ์
! ตถาคตย่อมเกื้อกูลและอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งหลายโดยทั่วหน้าอยู่”
“ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น
เหตุใดพระองค์จึงทรงแสดงธรรม แก่คนบางพวกและไม่ทรงแสดงธรรมแก่คนบางพวกเล่า
พระเจ้าข้า?”
“อสิพันธ์ ! ถ้าอย่างนั้นเราจะขอถามท่าน
ท่านเห็นควรอย่างใด จงตอบอย่างนั้น ที่นาของชาวนาในโลกนี้ มีอยู่ 3 ชนิดคือ
-
นาดี
-
นาปานกลาง
-
นาเลว
นาเลวมีดินเหลว
เค็ม และพื้นดินเลว ท่านเห็นอย่างไร เมื่อชาวนาต้องการจะปลูกข้าว
เขาควรจะปลูกข้าวในนาชนิดไหนก่อนเล่า ?”
นายบ้านกราบทูลว่า
“ควรปลูกในนาดีก่อน
ต่อแต่นั้นจึงหว่านในนาปานกลาง ส่วนในนาเลวซึ่งมีดินเหลว เค็ม พื้นดินเลวนั้น
จะปลูกบ้างหรือไม่ปลูกบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะในที่สุดก็จะเป็นอาหารของโคพระเจ้าข้า”
“อสิพันธ์
! เปรียบเหมือนนาดีฉันใด เราย่อมแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
และงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่ภิกษุและภิกษุณีของเราก่อน
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะภิกษุและภิกษุณีเหล่านี้ มีเราเป็นที่พึ่งเป็นสรณะอยู่
อสิพันธ์
! นาเลวมีดินเหลว เค็ม พื้นดินเลวฉันใด
เราย่อมแสดงธรรม......แก่อัญญเดียรถีย์ สมณะ พราหมณ์และ ปริพาชกของเราเหล่านั้น
ในที่สุดฉันนั้น
เพราะท่านเหล่านั้น จะพึงรู้ธรรมแม้บทเดียว ความรู้ของท่านเหล่านั้น
พึงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่เขาสิ้นกาลนาน..... ”
เมื่อจบพระธรรมเทศนา
ผู้ใหญ่บ้านอสิพันธ์ชื่นชม และแสดงตนเป็นอุบาสกตลอดชีวิต.
ขยายความ พระสูตรนี้
ได้ให้ข้อคิดแก่นักธรรมะ
ที่เป็นนักเทศน์หรือครูอาจารย์ที่สอนธรรมะแก่ผู้อื่นได้อย่างดีว่า
แม้แต่พระพุทธองค์ ซึ่งเป็นยอดแห่งผู้ฝึกสอนคนยังทรงต้องเลือกสอนคน
แล้วเราเป็นอะไร จึงคิดว่าจะสอนคนได้ทุกคน ?
ในการสอนธรรมะคนนั้น ควรจะมีองค์ประกอบสัก 3 ประการ คือ
- ความรู้ของเรามีพอที่จะสอนเขาได้เพียงไร
- กาลเทศะและบุคคล
ที่จะรับคำสอน
- พื้นฐานของคนที่รับสอนนั้น
มีบารมีหรือนิสัยหรือไม่ ?
ในการแสดงธรรมของพระพุทธองค์นั้น ทรงมุ่งมรรคผลเป็นสำคัญ
ที่บางครั้งทรงรอเวลา ก็เพื่อให้บารมีของผู้รับฟังเต็มเปี่ยมก่อน มิฉะนั้นจะไม่ได้ผล
หรือหากจะได้ผลก็เสียเวลามากเกินเหตุ
นักแสดงธรรมทุกวันนี้ ส่วนมากใช้วิธีเหวี่ยงแหเดาสุ่ม ผลจึงเกือบจะไม่มีเลย
ที่สำคัญก็คือ ผู้สอนธรรมส่วนมาก มักลอกแบบหรือฝีปากคนอื่น แทนที่จะสร้างให้มีคุณธรรมอันเกิดขึ้นในจิตของตนเองก่อนแล้วค่อยคิดสอนผู้อื่น
ด้วยเหตุนี้การสอนธรรมจึงล้มเหลวตลอดมา
ผู้สอนตนเองได้แล้ว จึงควรสอนผู้อื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น