ในสมัยใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์ขณะที่ทรงสำเร็จสีหไสยา
ณ ภายใต้ไม้สาละทั้งคู่ ปรากฏว่าไม้สาละทั้งคู่ เผด็จดอกสะพรั่งนอกฤดูกาล
ร่วงหล่นโปรยปรายเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า แม้ดอกมณฑารพอันเป็นดอกไม้ทิพย์
ก็ยังตกจากอากาศเพื่อบูชาอย่างมากมาย และดนตรีอันเป็นทิพย์ก็ประโคมอยู่ในอากาศ
พระพุทธองค์ได้ตรัสกะพระอานนท์
ถึงการบูชาสองอย่างคือการบูชาด้วยอามิสสิ่งของ อันจัดเป็นการบูชาด้วยวัตถุ
กับปฏิบัติบูชา คือการกระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ว่า
“อานนท์
! ตถาคตจะชื่อว่าอันบริษัทสักการะ เคารพนับถือ
บูชาและนอบน้อมด้วยเครื่องสักการะ ประมาณเท่านี้หามิได้
ผู้ใดแล จะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกหรืออุบาสิกาก็ตาม
เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามธรรมอยู่
ผู้นั้นแล
ย่อมชื่อว่าสักการะ เคารพ นับถือ และบูชา ตถาคต ด้วยการบูชาอย่างยอด
เพราะเหตุนั้นแหละอานนท์ พวกเธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่ ดังนี้”
ขยายความ ปัญหาเรื่องการปฏิบัติบูชา
คือการปฏิบัติตามคำสั่ง และคำสอนของพระพุทธเจ้า กับอามิสบูชา คือการบำรุงศาสนา
ด้วยวัตถุสิ่งของหรือปัจจัย 4 ได้แก่เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย
และยารักษาโรคนั้น
นับว่าเป็นปัญหาที่ยังหาข้อยุติยาก ตราบใดที่พุทธบริษัทยังขาด ปัญญา
คือความรอบรู้ในหลักธรรมคำสอนอย่างแท้จริงและรู้ตลอดสาย
มิใช่เพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่งเหมือนคนตาบอดคลำช้าง
ว่าที่จริง อามิสบูชากับปฏิบัติบูชา ต้องกอดคอไปด้วยกัน
จึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างสมบูรณ์ และรวดเร็วด้วย ถ้าเปรียบพุทธศาสนาเป็นต้นไม้
อามิสบูชา ก็เปรียบเหมือนเปลือกกับกระพี้ที่ช่วยหุ้มแก่นไม้
ปฏิบัติบูชา ก็เปรียบเหมือนแก่นของต้นไม้
แก่นของไม้ก็ต้องอาศัยเปลือก กับกระพี้ช่วยหุ้มไว้
ถ้าไม่มีเจ้าสองสิ่งนี้ช่วยแก่นไม้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
แก่น ไม่ว่าจะเป็นแก่นไม้ หรือแก่นศาสนา ผู้มีปัญญาย่อมต้องการตรงกัน
แต่ระดับปัญญาของคนมีไม่เท่ากัน
คนมีปัญญาน้อย ก็เห็นและทำได้ในวงแคบ และมักจะเห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ
เราไม่ควรจะตำหนิกัน ควรจะมีเมตตาและกรุณาต่อกัน ต่อเมื่อจิตเขาพัฒนาขึ้น
รู้ว่าอะไรดีกว่าเหนือกว่า เขาจะเลิกสิ่งที่ไร้สาระเหล่านั้นไปเอง