พระลักขณะเห็นอาการเช่นนั้น จึงได้ถามท่านว่า
"ท่านยิ้มทำไม ?"
พระโมคคัลลานะตอบว่า
"ผมยังไม่ควรที่จะตอบปัญหานี้ถ้าท่านสนใจ
ขอให้ถามเรื่องนี้ต่อพระพักตร์พระพุทธองค์เถิด"
เมื่อกลับจากบิณฑบาต และฉันเสร็จแล้ว
จึงพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระลักขณะได้กราบทูลถวาย ถึงอาการยิ้มของพระโมคคัลลนะ
ท่านพระโมคคัลลานะได้ตอบว่า
"ขณะที่ผมลงจากภูเขาคิชฌกูฎอยู่นั้น
ผมได้เห็นอัฎฐิสังขลิกเปตร ซึ่งมีแต่ร่างกระดูกลอยไปในอากาศ ฝูงแร้งเหยี่ยว
และนกตระกรุม พากันโฉบอยู่ขวักไขว่จิกสับโดยแรง จิกทึ้งยื้อแย่งตามช่องซี่โครง
สะบัดซึ่งเปตรนั้นอยู่ไปมา เปรตนั้นร้องครวญครางอยู่
ท่านลักขณะ ! ผมนั้นได้คิดเช่นนี้ว่า
น่าอัศจรรย์จริงหนอ น่าประหลาดจริงหนอ ที่สัตว์แม้เห็นปานนี้ ยักษ์แม้เห็นปานนี้
เปรตแม้เห็นปานนี้ การได้อัตภาพแม้เห็นปานนี้ก็มีอยู่..."
ภิกษุทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น ได้พากันตำหนิติเตียนว่า
พระโมคคัลลานะพูดอวดคุณวิเศษ จนพระพุทธองค์ต้องรับสั่ง เป็นเชิงรับรองว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกทั้งหลายย่อมเป็นผู้มีจักษุอยู่
ย่อมเป็นผู้มีญาณอยู่เพราะสาวกได้รู้ได้เห็น หรือได้ทำสัตว์เช่นนี้ให้เป็นพยานแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อกาลก่อนเราได้เห็นสัตว์ (เปรต)
นั้น แต่เราไม่ได้พยากรณ์ (กล่าว) ถ้าเราพยากรณ์สัตว์นั้น และคนอื่นไม่เชื่อเรา
ข้อนั้นก็จะพึง เป็นไปเพื่อ (บาป) ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อทุกข์แก่เขาเหล่านั้นสิ้นกาลนาน
ภิกษุทั้งหลาย ! สัตว์ (เปรต) นั้นเคยเป็นคนฆ่าโค
อยู่ในกรุงราชคฤห์นี้เองด้วยวิบากกรรมแห่งนั้น เขาหมกไหม้อยู่ในนรกหลายปี
หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี แล้วได้ประสบอัตภาพเช่นนี้ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
แหละที่ยังเป็นส่วนเหลืออยู่
ภิกษุทั้งหลาย ! โมคคัลลานะพูดจริง โมคคัลลานะไม่ต้อง อาบัติ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น