พระพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ กูฎาคารศาลาป่ามหาวัน เมืองเวสาลี ครั้งนั้นภิกษุรูปหนึ่ง เป็นผู้มีปกติถือของทุกอย่างเป็นบังสุกุล
สำนักอยู่ในสุสานประเทศ ท่านไม่ปราถนาจะรับอาหารที่ประชาชนถวาย
เที่ยวถือเอาอาหารเครื่องเซ่นเจ้าตามป่าช้าบ้าง ตามโคนไม้บ้าง ตามธรณีประตูบ้าง
มาฉันเอง
ประชาชนต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ว่าไฉนภิกษุนี้
จึงได้ถือเอาอาหารเครื่องเซ่นเจ้า ของพวกเราไปฉันเล่า ภิกษุนี้อ้วนล่ำ บางทีจะฉันเนื้อมนุษย์กระมัง
?
ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้น
พากันเพ่งโทษติเตียนและโพนทะนาอยู่
บรรดาท่านที่เป็นผู้มักน้อยมีความละอายต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่าไฉนภิกษุได้กลืนอาหาร
ที่เขายังไม่ได้ให้ให้ล่วงช่องปากเล่า...
ครั้นแล้วได้กราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค
พระพุทธองค์ทรงสอบสวนภิกษุรูปนั้น เธอได้ให้คำตามเป็นจริงแล้วทรงติเตียนว่า
"ดูก่อนคนเปล่า ! ไฉนเธอจึงได้กลืนอาหาร
ที่เขายังไม่ได้ให้ ให้ล่วงช่องปากเล่า การกระทำของเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว..."
ครั้นแล้วจึงทรงบัญญัติสิกขาบท
ห้ามมิให้ภิกษุกลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ล่วงช่องปาก
ต่อมาทรงอนุญาตน้ำและไม้สีฟันเพียงสองอย่างเท่านั้น
ที่ไม่ต้องมีผู้ให้ก็หยิบฉันและใช้เองได้
ขยายความ ปัญหาเรื่องพระฉันอาหาร ที่ไม่มีผู้ให้ หรือยังไม่ได้รับประเคนนั้น เป็นข้อที่ควรยกมาพิจารณากัน จึงได้ยกต้นบัญญัติมาลงไว้เต็มรูป ว่ามีเหตุเพียงเท่านี้ แม้ในวินัยมุขเล่ม 1 ก็อธิบายไว้เพียงนิดเดียว
ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย ล้วนเป็นเรื่องการตีความเอาเอง
ถ้าใครเป็นคนเจ้าระเบียบ ก็จะตีความหยุมหยิม จุกจิก จนเกิดความวุ่นวายในที่สุด
ส่วนตนมักง่าย จะไม่เอาใจใส่เสียเลยถือว่าเป็นของเรา
หรือชาวบ้านให้แล้วไม่จำเป็นต้องประเคนอีก แม้จะข้ามคืนก็ตาม แล้วผลเป็นอย่างไร ?
ทั้งฝ่ายตึงฝ่ายหย่อน ก็ตั้งเป็นข้อรังเกียจซึ่งกันและกัน
ด้วยความเห็นที่แตกต่างกัน ด้วยศีลที่ไม่เสมอกัน จนในที่สุดต้องแยกกัน
หรือถ้าขืนอยู่ด้วยกันก็ไม่สามัคคีกัน แล้วอย่างไร
จึงจะถือว่าพอดีไม่เกินไม่ขาด?
เห็นจะต้องพบกันครึ่งทางกระมัง คือเดินสายกลาง
ที่ประกอบด้วยปัญญา คือไม่ตึงจนขาด และไม่หย่อนจนยาน นั่นก็คือศึกษาดูความมุ่งหมาย
ของสิกขาบทนั้น ๆ ว่ามีเป้าหมายอย่างไร ถ้าตีความไม่ลงอย่ามีทิฐิ
ควรปรึกษาท่านผู้รู้บ้าง
สิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้คือชาวบ้าน
ที่ภิกษุอาศัยเลี้ยงปากท้องอยู่นั่นเอง ถ้าชาวบ้านรังเกียจแล้ว ก็ไม่ควรทำ
แต่ควรจะชี้แจงความจริงให้เขารู้พระวินัย ถ้าพออนุโลมกันได้ ก็อนุโลมกันไปก่อน
ถ้าเห็นว่าจะเสียรูปแบบของพระมากไป ก็ควรจะพิจารณา
ว่าเราสมควรจะอยู่ในสถานที่นั้นต่อไปหรือไม่
ข้อสำคัญอย่าลืม ว่าเราบวชอุทิศพระพุทธเจ้า
อย่าได้เหยียบย่ำ ล้มล้าง บิดเบือน เปลี่ยนแปลงพระวินัย เอาตามใจตนเอง
หรือเห็นแก่ชาวบ้าน เอาใจชาวบ้านเป็นอันขาด เดี๋ยว จะกลายเป็นขบถต่อพระพุทธเจ้าไป
นรกจะกินหัวผุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น