"สมณะหรือนักบวชผู้ใด เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์
จงเหาะขึ้นไปปลดเอาบาตรปุ่มไม้แก่นจันทร์ลูกนี้ไปเถิด"
ฝ่ายปูรณะกัสสป ได้เข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐี
แล้วกล่าวว่า
"ท่านคหบดี !
อาตมานี่แหละเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ขอท่านจงให้บาตรแก่อาตมาเถิด"
ท่านเศรษฐีตอบว่า "ท่านเจ้าข้า !
ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์จริง
ก็จงปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแลไปเถิด"
ต่อมา ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล
ท่านปกุธกัจจายนะ ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านนิครนถ์นาฏบุตร
รู้ข่าวก็ได้เข้าไปหาท่านเศรษฐี ขอบาตรเช่นเดียวกับท่านปูรณะกัสสป
ท่านเศรษฐีก็บอกว่าให้เหาะขึ้นไปเอาเองเถิด ก็ไม่มีใครเหาะได้
วันหนึ่ง พระโมคคัลลานะกับพระปิณโฑลภารทวาชะ
ได้ไปบิณฑบาตผ่านบ้านเศรษฐี ทราบประกาศแล้ว พระปิณโฑลภารทวาชะ กล่าว่า
"ท่านโมคคัลลานะ !
ท่านจงขึ้นไปปลดเอาบาตรนั้นลงมาเถิด บาตรนั้นจะเป็นของท่าน"
พระโมคคัลลานะก็เกี่ยง ให้พระปิณโฑล์ขึ้นไปปลดเอาเถิด
พระปิณโฑล์จึงเหาะขึ้นไปปลดเอาบาตรปุ่มไม้แก่นจันทร์ แล้วถือบาตรนั้นเหาะรอบเมืองราชคฤห์
3 รอบ แล้วจึงลงมา
ราชคฤห์เศรษฐีพร้อมกับบุตรและภรรยา
ยืนดูอยู่ในบ้านและเห็นตลอด จึงประคองอัญชลีนมัสการ ร้องนิมนต์ว่า
"ท่านเจ้าข้า ! ขอพระคุณเจ้าปิณโฑลภารทวาชะ
นิมนต์มาที่เรือนของกระผมเถิด"
เมื่อพระปิณโฑล์มาถึงเรือน ท่านเศรษฐีได้รับบาตรของท่าน
และจัดของเคี้ยวมีค่ามากถวายท่าน แล้วกลับไปสู่อารามชาวบ้านได้ทราบข่าว
พระปิณโฑล์เหาะขึ้นไปปลดบาตรเศรษฐีต่างส่งเสียงอึกทึกเกรียวกราว
เดินตามพระปิณโฑล์ไปจนถึงวัด
พระพุทธองค์ทรงสดับเสียงเหล่านั้นแล้ว
ตรัสถามพระอานนท์ว่า
"อานนท์ ! นั่นเสียงอึกทึกเกรียวกราว เกิดเรื่องอะไรกัน?"
พระอานนท์ได้กราบทูลเรื่องพระปิณโฑล์
เหาะขึ้นไปเอาบาตรปุ่มไม้แก่นจันทร์ของเศรษฐีโดยตลอด
พระพุทธองค์จึงทรงรับสั่งประชุมสงฆ์
แล้วตรัสถามพระปิณโฑล์
"ภารทวาชะ ! ข่าวว่าเธอเหาะขึ้นไปปลดบาตรของเศรษฐีลง จริงหรือ?"
"จริง พระพุทธเจ้าข้า"
"ภารทวาชะ ! การกระทำของเธอนั่นไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ
ไฉนเธอจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์
ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตรไม้
ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่า มาตุคามแสดงของลับ เพราะเหตุแห่งทรัพย์
ซึ่งเป็นดุจซากศพแม้ฉันใด
เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์
ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตรไม้
ซึ่งเป็นดุจซากศพ
การกระทำของเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส"
ครั้นทรงตำหนิการกระทำของพระปิณโฑล์เป็นอันมากแล้ว
จึงรับสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยิ่งยวดของมนุษย์แก่พวกคฤห้สถ์ รูปใดแสดง
ต้องอาบัติทุกกฎ"
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น
บดให้ละเอียด แล้วใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฎ"
ขยายความ พระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วยังถูกพระพุทธองค์ทรงตำหนิอย่างมากมาย และเป็นต้นบัญญัติมิให้พระแสดงฤทธิ์ แม้เป็นของที่มีจริง
ปล.พระปิณโฑลภารทวาชะ
จัดเป็นผู้มีฤทธิ์รองจากพระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า)เท่านั้น
ในเมืองไทย มีภิกษุหลายรูปประกาศว่า
เป็นพระอริยบุคคลชั้นนั้นชั้นนี้บ้าง บ้างก็อ้างว่าติดต่อพูดคุยกับพระอินทร์ เทวดา
หรือ พญายมราช บ้างก็ว่าได้ฌานชั้นนั้นชั้นนี้
ไม่น่าจะเอาคุณวิเศษที่พระพุทธเจ้าห้าม
มาเป็นเครื่องล่อให้ประชาชนเลื่อมใสตนและสำนักของตนด้วยอุบายอันลามกเช่นนี้
เพราะเสี่ยงต่อการขาดจากความเป็นพระมากเกินไป
ถ้าอวดคุณวิเศษที่ไม่มีจริง ก็เป็นปาราชิก
ถ้าอวดในสิ่งที่ มีจริงก็ปรับอาบัติปาจิตตีย์และทุกกฎ คือผิดทั้งขึ้นและล่อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น